เมนู

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [2. ทุติยวรรค] 9. อนุปุพพาภิสมยกถา (18)
[342] สก. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผลละอะไรได้ด้วยการเห็นทุกข์
ปร. ละกามราคะอย่างละเอียด พยาบาทอย่างละเอียด และกิเลสที่มีอยู่ใน
จิตดวงเดียวกันกับกิเลสทั้ง 2 นั้นได้ 1 ใน 4 ส่วน
สก. เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอนาคามี เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน
4 ส่วน ไม่เป็นพระอนาคามี เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน ท่านถึง ได้ บรรลุ
ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่ สัมผัสอนาคามิผลด้วยกายอยู่ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน
ไม่สัมผัสอนาคามิผลด้วยกายอยู่ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอนาคามี
ผู้อันตราปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อุปหัจจปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อสังขารปรินิพพายี ฯลฯ
ผู้สสังขารปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน
ไม่เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผลละอะไรได้ด้วยการเห็นสมุทัย ฯลฯ
ด้วยการเห็นนิโรธ ฯลฯ ด้วยการเห็นมรรค
ปร. ละกามราคะอย่างละเอียด พยาบาทอย่างละเอียด และกิเลสที่มีอยู่ใน
จิตดวงเดียวกันกับกิเลสทั้ง 2 นั้นได้ 1 ใน 4 ส่วน
สก. เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอนาคามี เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน
4 ส่วน ไม่เป็นพระอนาคามี เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน ท่านถึง ได้ บรรลุ
ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่ สัมผัสอนาคามิผลด้วยกายอยู่ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน
4 ส่วน ไม่สัมผัสอนาคามิผลด้วยกายอยู่ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน เป็น
พระอนาคามีผู้อันตราปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อุปหัจจปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อสังขาร-
ปรินิพพายี ฯลฯ ผู้สสังขารปรินิพพายี ฯลฯ ผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เมื่อละ
กิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน ไม่เป็นพระอนาคามีผู้อุทธังโสโตอกนิฏฐคามีใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 37 หน้า :320 }


พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [2. ทุติยวรรค] 9. อนุปุพพาภิสมยกถา (18)
[343] สก. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผลละอะไรได้ด้วยการเห็นทุกข์
ปร. ละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา และกิเลสที่มีอยู่ใน
จิตดวงเดียวกันกับกิเลสทั้ง 5 นั้นได้ 1 ใน 4 ส่วน
สก. เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอรหันต์ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน
4 ส่วน ไม่เป็นพระอรหันต์ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน ท่านถึง ได้ บรรลุ
ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่ สัมผัสอรหัตตผลด้วยกายอยู่ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน
ไม่สัมผัสอรหัตตผลด้วยกายอยู่ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน เป็นผู้ปราศจากราคะ
ฯลฯ โทสะ ฯลฯ โมหะ ฯลฯ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุ
ประโยชน์ตนแล้ว หมดสิ้นกิเลสเป็นเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพแล้ว หลุดพ้นเพราะรู้ชอบ
ถอดลิ่มสลัก กลบคู ถอนเสาระเนียดได้แล้ว ไม่มีบานประตู เป็นพระอริยะ ปลดธง
คือมานะ วางภาระคือขันธ์ หมดเครื่องผูกพ้น ชนะอย่างวิเศษแล้ว ท่านกำหนดรู้ทุกข์
ละสมุทัย ทำให้แจ้งนิโรธ เจริญมรรคแล้ว รู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง กำหนดรู้ธรรมที่
ควรกำหนดรู้ ละธรรมที่ควรละ เจริญธรรมที่ควรเจริญ ฯลฯ ทำให้แจ้งธรรมที่ควร
ทำให้แจ้ง เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน ไม่ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้งใช่ไหม
ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
สก. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอรหัตตผลละอะไรได้ด้วยการเห็นสมุทัย ฯลฯ
ด้วยการเห็นนิโรธ ฯลฯ ด้วยการเห็นมรรค
ปร. ละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา และกิเลสที่มีอยู่ใน
จิตดวงเดียวกันกับกิเลสทั้ง 5 นั้นได้ 1 ใน 4 ส่วน
สก. เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน เป็นพระอรหันต์ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน
4 ส่วน ไม่เป็นพระอรหันต์ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน ท่านถึง ได้ บรรลุ
ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่ สัมผัสอรหัตตผลด้วยกายอยู่ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน
ไม่สัมผัสอรหัตตผลด้วยกายอยู่ เมื่อละกิเลสได้ 1 ใน 4 ส่วน เป็นผู้ปราศจากราคะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 37 หน้า :321 }